บทที่ 25 เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย (100%)

“มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว เพราะถ้าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังสั่งให้บูรณาฆ่าคุณนีราได้ การจะสั่งบูรณาให้ไปสั่งการคนขับรถอีกทีคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร”

“ดูเหมือนว่าผู้บงการตัวจริงจะชอบยืมมือคนอื่น”

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ว่าแต่…พี่แน่ใจนะ ว่าคุณนีราไม่ได้มีศัตรูที่ไหน”

“อืม…กูให้คนไปสืบอย่างละเอียดแล้ว”

จักรพรรดิเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“พี่ไม่ต้องห่วง ผมจะพยายามช่วยให้ถึงที่สุด”

สารวัตรหนุ่มบอกอย่างหนักแน่น จากนั้นก็เอ่ยทิ้งท้ายไว้อีกนิดหน่อย ส่งไฟล์วิดีโอเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญให้จักรพรรดิ แล้วถึงได้ขอตัวกลับไปทำงาน

การนั่งกินข้าวเพียงลำพัง ยังคงเป็นอะไรที่น่าเจ็บปวดสำหรับคนที่เพิ่งสูญเสียพ่อกับแม่ไป หากว่าไม่ปวดท้องจนทนไม่ไหวจริงๆ บูรณิมาคงไม่มานั่งกินข้าวอยู่ในที่ที่เธอเคยนั่งกินข้าวร่วมกับพ่อและแม่ พอหันไปเห็นผ้ากันเปื้อนที่ห้อยอยู่ตรงมุมห้องครัว หยาดน้ำตาใสๆ ก็ไหลอาบแก้มนวลเสียดื้อๆ

Rrrrrr… Rrrrrr… Rrrrrr…

ตักข้าวเข้าปากแบบไม่รู้รสชาติไปได้ไม่กี่คำเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศเศร้าสลด หลังจากยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆ เธอก็คว้ามือถือที่วางไว้ใกล้ๆ มาดู เป็นบก. ของสำนักพิมพ์ติดต่อมา

“สวัสดีค่ะพี่จ๋า”

“ยายบี๋ เป็นไงบ้างแก”

“ยังทำใจไม่ได้เลยค่ะ”

เธอตอบไปตามความเป็นจริง เพราะพ่อกับแม่เพิ่งจากไปไม่กี่วัน หนำซ้ำยังจากไปในเวลาเดียวกัน ฉะนั้นจะให้คนที่ทั้งชีวิตมีแต่พ่อกับแม่เป็นที่ยึดเหนี่ยวทำใจได้อย่างไรไหว

“ฉันเป็นกำลังใจให้นะแก สู้ๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

“ขอบคุณมากค่ะพี่จ๋า” นักเขียนสาวเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะเอ่ยไปถึงเรื่องงาน เพราะนึกละอายใจที่เอาแต่เลื่อนส่งมาเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์

“ส่วนงานอีกไม่เกินอาทิตย์บี๋จะส่งให้นะคะ”

“เอ่อ…ไม่ต้องแล้วล่ะยายบี๋”

น้ำเสียงอึกอักทำให้บูรณิมาชักสังหรณ์ใจพิกล

“หมายความว่ายังไงคะ?”

“…ทางผู้ใหญ่มีคำสั่งลงมาว่าให้นักเขียนคนอื่นมาทำแทนแก และเขาอยากให้แกเปลี่ยนไปใช้นามปากกาอื่นโดยไม่เปิดเผยตัวตนว่าเป็นใคร”

จักรกฤษณ์เอ่ยบอกนักเขียนในสังกัดที่ตนรักและเอ็นดูด้วยความลำบากใจ

“เกิดอะไรขึ้นคะ?”

“มีแฟนคลับของสำนักพิมพ์และแฟนนิยายบางส่วนรู้เรื่องของแม่แก ก็เลยรวมตัวกันมากดดันให้ทางสำนักพิมพ์ปลดงานของแก และประกาศว่าจะพากันแบนงานของแก ทางสำนักพิมพ์ก็เลยต้องหารือกันอย่างเร่งด่วน”

“แต่ตำรวจยังไม่ฟันธงนี่คะ ว่าแม่บี๋เป็นคนฆ่าพี่นีรา”

เสียงแข็งแย้งทันควัน

“ถึงจะเป็นงั้นก็เถอะ แต่ทุกอย่างมันเลยเถิดไปหมดแล้วแก”

“แม่ก็ส่วนแม่ บี๋ก็ส่วนบี๋ และงานก็ส่วนงาน ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้จักแยกแยะ”

เธอพยายามเรียกร้องหาความยุติธรรมให้ตัวเองด้วยความอัดอั้นตันใจ ไม่เข้าใจว่าคนสมัยนี้ทำไมถึงชอบเหมารวม หรือไม่ก็โยงเรื่องทั้งที่มันไม่สมควรจะเป็นเช่นนั้น

“ฉันรู้ๆ แต่แกก็รู้นี่นาว่าสมัยนี้ข่าวในโซเชียลมันเร็วมาก ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างมันต้องส่งผลถึงยอดขายของสำนักพิมพ์แน่ๆ อีกอย่างทางผู้ใหญ่ก็หารือกันแล้ว…”

ท้ายประโยคเสียงที่ฟังดูอึกอักของบก. ทำให้คนฟังยิ้มหยัน

“เลยได้ข้อสรุปว่า ถ้าบี๋จะทำงานกับทางสำนักพิมพ์ต่อ บี๋ต้องเปลี่ยนนามปากกาและไม่เปิดเผยตัวตนใช่ไหมคะ”

แหงล่ะ ถ้าไม่ทำตามข้อเสนอสำนักพิมพ์คงลอยแพเธอแน่ๆ เพราะไม่มีเธอสักคนพวกเขาก็ไม่ล่มจมอะไร ฉะนั้นจะไปแคร์ทำไมหากจะผลักไสให้เธอกลายเป็นนักเขียนไร้ค่า

จริงๆ แล้วหากบูรณิมาไม่ได้ร่วมงานกับทางสำนักพิมพ์เธอก็ยังพอมีรายได้ เพราะขายอีบุ๊คด้วย แต่ชื่อเสียงที่สั่งสมมาในก่อนหน้านี้ล่ะ มันต้องพังทลายลงไปในชั่วพริบตาโดยที่เธอไม่มีความผิดอะไรเลยอย่างนั้นหรือ มันยุติธรรมแล้วหรือ ไหนจะยังงานแปลที่เธอทำค้างอยู่อีกล่ะ

“อืม แต่ฉันจะพยายามหาทางช่วยอีกทีแล้วกัน แกใจเย็นๆ ก่อนนะ”

ทุกอย่างกำลังจะพังทลายจะให้เธอใจเย็นได้ยังไง

นิยายที่เธอสร้างสรรค์มาอย่างตั้งใจกำลังจะถูกด้อยค่า แล้วเธอจะทำใจกับสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ได้ยังไง ในเมื่อนิยายเปรียบเสมือนชีวิตจิตใจของเธอ

“ขอบคุณพี่จ๋ามากนะคะที่โทรมาบอก บี๋ขอเวลาตัดสินใจสามวัน แล้วจะให้คำตอบค่ะ”

กล่าวเพียงเท่านั้นเธอก็กดตัดสายเสียดื้อๆ ด้วยไม่อาจทนฟังหรือรับรู้อะไรอีกต่อไป ก่อนจะกดเข้าไปดูเฟสบุ๊คมือไม้สั่น หน้าเฟสของเธอเต็มไปด้วยถ้อยคำประณามหยาบคาย ทำร้ายจิตใจ บางคนก็ประณามว่าเธอเป็นลูกฆาตกร บ้างก็ด่าประจานในทางเสียๆ หายๆ ว่าเธอคงจะชั่วร้ายไม่ต่างจากแม่ของเธอ บ้างก็ว่าเธอน่าจะฆ่าตัวตายตามแม่ไปซะ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นคงลืมไปว่าเธอเป็นลูกของแม่ก็จริง แต่เธอไม่ได้เป็นคนชั่ว เรื่องนี้เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และที่สำคัญเรื่องคดีฆาตกรรมนีรายังหาข้อสรุปไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วฆาตกรคือใครกันแน่ ตอนนี้แม่เธอยังคงเป็นเพียงหนึ่งในผู้ต้องสงสัย การที่พวกเขามายัดเยียดข้อหาให้มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

หากจะผิดก็คงผิดที่เธอรู้เรื่องการเป็นหนี้สินของพ่อช้าไป ผิดที่เธอไม่ลองสืบดูว่าแม่ทำไมถึงติดต่อกับนลินนิภาเป็นการส่วนตัว แต่ถึงเธอจะเป็นลูกฆาตกรผู้เลือดเย็นอย่างที่ใครต่อใครตราหน้า แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่มีสิทธิ์มาด้อยค่างานเขียนของเธอ ไม่มีสิทธิ์มาฉวยโอกาสใส่ร้ายว่าที่นิยายของเธอมีแต่แนวจิตๆ เพราะจิตใจของเธอไม่ปกติเหมือนแม่ของเธอ และที่แย่ไปกว่านั้นคือคนที่มีอาชีพนักเขียนเหมือนกันระดมพรรคพวกนักเขียนมาถล่มทั้งเฟสและเพจของเธอ จากมิตรกลายเป็นศัตรู จากไม่รู้จักกลายเป็นขุดคุ้ย จากเคยยำเกรงกลายเป็นไม่ไว้หน้า

คอมเม้นท์ในเฟสบุ๊คทำให้สภาวะจิตใจของบูรณิมาดำดิ่งจนถึงขีดสุด สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนไม่รู้แม้กระทั่งว่าโทรศัพท์ร่วงจากมือไปตั้งแต่ตอนไหน หญิงสาวยกมือสั่นเทาขึ้นกุมหน้า แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ทุกอย่างที่ประดังประเดเข้ามาถล่มในเวลาเดียวกันทำให้บูรณิมาควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอเป็นแค่คนธรรมาดาที่มีหัวใจคนหนึ่ง แล้วจะให้เธอผ่านช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดนี้ไปได้อย่างไร เธอจะผ่านมันไปได้อย่างไร

เธอเคยบอกตัวเองให้ยิ้มเข้าไว้ ไม่ว่าจะเจอเรื่องทุกข์ร้อนอะไร แต่นี่มันหนักหนาสาหัสเกินจะรับไหว ต่อให้อยากจะยิ้มก็คงทำได้เพียงยิ้มทั้งน้ำตา ยิ้มทั้งที่หัวใจเจ็บปวด สิ้นหวัง และหาทางออกไม่เจอ

จากนั้นคนที่เจอแต่เรื่องร้ายๆ ก็นั่งกินข้าวทั้งน้ำตา บ้างหัวเราะเหมือนคนบ้า สลับกับร้องไห้อย่างคนเสียสติ จิตหลุดจนมิอาจควบคุมอะไรได้อีกต่อไป

บทก่อนหน้า
บทถัดไป